ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
กรณีคดีสะเทือนขวัญนายชาตรี ร่วมสูงเนิน ก่อเหตุฆ่านางสาวจุฬารัตน์ โทวรรณา
อายุ 26 ปี เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โรงเรียนแสงวิทยา
อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อย่างโหดเหี้ยม ภายหลังการจับกุม นายสนิท โทวรรณา อายุ
59 ปี บิดา พร้อมพี่สาวกับพี่ชาย ญาติๆ เดินทางมาที่ สภ.แก่งคอย จ.สระบุรี
ให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน นายสนิท เผย มีลูก 3 คน
ลูกชายคนโตเป็นครูอยู่ที่บ้าน พี่สาวอีกคนเป็นครูอยู่ กทม.
ส่วนนางสาวจุฬารัตน์ ผู้ตาย เป็นครูอยู่โรงเรียนแสงวิทยา อ.แก่งคอย
จ.สระบุรี เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์
มีคนรักเป็นตำรวจอยู่นายร้อยสามพราน นครปฐม
มีเป้าหมายกันว่าจะซื้อรถฟอร์จูนเนอร์เร็วๆ นี้ นายสนิทเผยว่า ตนเสียใจมาก
นายชาตรีทำอะไรรุนแรงเกินไป ถ้าชอบลูกสาวมาขอกับพ่อนี้
ไม่น่าทำรุนแรงจนเสียชีวิต ส่วนคุณแม่นั้นไม่มาด้วยเพราะทำใจไม่ได้
อย่าง ไรก็ตาม ป่รากฏว่ามีประชาชนส่วนหนึ่งที่รอที่เกิดเหตุนาน ก็เดินทางมาที่หน้า สภ.แก่งคอย ตะโกนถือป้ายให้ประหารชีวิต จนเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ออกหน้า สภ.ไป ชาวบ้านจึงเดินทางกลับไปรอตั้งหลักที่บ้านที่เกิดเหตุหวังจะดูหน้าคนร้ายและ รอจะประชาทัณฑ์ พร้อมทั้งมีการถือป้ายเรียกร้องให้มีการประหารนายชาตรีด้วย
สำหรับ นายชาตรี คนร้าย ประวัติเพิ่งพ้นโทษ โดยในปี 2556 ก่อคดีข่มขืนเมียเพื่อน ทำไม่สำเร็จ แต่ก็ถูกดำเนินคดี พ้นโทษออกมาได้ ประมาณ 10 เดือน และมาทำงานกับผู้รับเหมาโรงงานแห่งหนึ่ง จนมาก่อเหตุดังกล่าว
สำหรับ บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 3 บ้านบุ่งค้า ต.พระธาตุ อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด บ้านของน.ส.จุฬารัตน์ นางจันศรี โทวรรณ อายุ 57 ปี มารดาและญาติๆ ได้มารอรับศพอยู่ที่บ้าน โดยให้พ่อและญาติ ส่วนหนึ่งเดินทางลงไปรับศพกลับมาบำเพ็ญกุศล ซึ่งทุกคนเดินทางไปถึงพื้นที่เกิดเหตุและเตรียมนำศพกลับบ้าน ซึ่งคาดว่าจะเดินทางกลับมาถึงภายในไม่เกิน 18.00 น.วันนี้ ซึ่งการจัดงานศพ ได้เตรียมตั้งเต็นท์และสถานที่จัดงานศพไว้ที่วัดบ้านค้า ที่เป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยการตั้งศพบำเพ็ญกุศล 4 วัน และจะฌาปนกิจในวันที่ 6 ก.ค.นิ้
โดยนางจันศรีเล่าว่า สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นลูกคนสุดท้อง คนโตเป็นชาย อายุ 32 ปี เป็นครู กศน., คนที่ 2 เป็นหญิง เป็นข้าราชการครู อายุ 29 ปี และผู้ตาย คนสุดท้องอายุ 26 ปี จบ ป.ตรี วิทยาศาสตร์ และจบแล้วไปเป็นครูโรงเรียนเอกชน เข้าปีที่ 3 แล้วได้เงินเดือน 15,000 บาท เจียดส่งมาบ้านบ้างและส่งตัวเองเรียนต่อด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ กับลูกคนสุดท้องที่เป็นคนเรียบร้อย อัธยาศัยดี และคิดดีกับทุกคนเช่นนี้ ซึ่งทุกคนช็อกและรับไม่ได้ ตนอยากฝากไปยังผู้รับผิดชอบการร่างกฎหมาย ให้พิจารณาเรื่องนี้ เพราะคนไม่ดี พ้นโทษออกมาก็จะมาก่อเหตุทำร้ายคนดีอีก ตนอยากให้การตายของลูกสาวเป็นรายสุดท้ายที่เกิดเหตุแบบนี้ และต้องการให้เป็นอานิสงส์ให้มีการออกกฎหมายที่เด็ดขาดกว่านี้ ใครก่อเหตุเช่นนี้ต้องกำหนดกฎหมายลงโทษให้ตายตกตามกันไป เพื่อที่จะไม่ให้ติดคุกพ้นโทษออกมา แล้วก็มาก่อเหตุอีก และจากการทราบว่ามีการจับคนร้ายได้ ที่เมื่อพ้นโทษแล้วยังมาก่อเหตุอีก
ใน ขณะที่นางวงเดือน โพธิ์นาม ญาติคนหนึ่งกล่าวว่า อยากให้ใช้กฎหมายเข้มข้น อยากให้ฆ่าทิ้งหรือประหารเลย เพราะรายนี้ออกจากคุกมาแล้วยังไม่สำนึก ออกจากคุกมาอีกก็จะทำอีก อยากให้เอาไปประหาร หรือไม่ก็เอาไปเผานั่งยางแบบที่อุดรธานี จึงจะสาสม
อย่าง ไรก็ตาม ป่รากฏว่ามีประชาชนส่วนหนึ่งที่รอที่เกิดเหตุนาน ก็เดินทางมาที่หน้า สภ.แก่งคอย ตะโกนถือป้ายให้ประหารชีวิต จนเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ออกหน้า สภ.ไป ชาวบ้านจึงเดินทางกลับไปรอตั้งหลักที่บ้านที่เกิดเหตุหวังจะดูหน้าคนร้ายและ รอจะประชาทัณฑ์ พร้อมทั้งมีการถือป้ายเรียกร้องให้มีการประหารนายชาตรีด้วย
สำหรับ นายชาตรี คนร้าย ประวัติเพิ่งพ้นโทษ โดยในปี 2556 ก่อคดีข่มขืนเมียเพื่อน ทำไม่สำเร็จ แต่ก็ถูกดำเนินคดี พ้นโทษออกมาได้ ประมาณ 10 เดือน และมาทำงานกับผู้รับเหมาโรงงานแห่งหนึ่ง จนมาก่อเหตุดังกล่าว
สำหรับ บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 3 บ้านบุ่งค้า ต.พระธาตุ อ.เชียงขวัญ จ.ร้อยเอ็ด บ้านของน.ส.จุฬารัตน์ นางจันศรี โทวรรณ อายุ 57 ปี มารดาและญาติๆ ได้มารอรับศพอยู่ที่บ้าน โดยให้พ่อและญาติ ส่วนหนึ่งเดินทางลงไปรับศพกลับมาบำเพ็ญกุศล ซึ่งทุกคนเดินทางไปถึงพื้นที่เกิดเหตุและเตรียมนำศพกลับบ้าน ซึ่งคาดว่าจะเดินทางกลับมาถึงภายในไม่เกิน 18.00 น.วันนี้ ซึ่งการจัดงานศพ ได้เตรียมตั้งเต็นท์และสถานที่จัดงานศพไว้ที่วัดบ้านค้า ที่เป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยการตั้งศพบำเพ็ญกุศล 4 วัน และจะฌาปนกิจในวันที่ 6 ก.ค.นิ้
โดยนางจันศรีเล่าว่า สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นลูกคนสุดท้อง คนโตเป็นชาย อายุ 32 ปี เป็นครู กศน., คนที่ 2 เป็นหญิง เป็นข้าราชการครู อายุ 29 ปี และผู้ตาย คนสุดท้องอายุ 26 ปี จบ ป.ตรี วิทยาศาสตร์ และจบแล้วไปเป็นครูโรงเรียนเอกชน เข้าปีที่ 3 แล้วได้เงินเดือน 15,000 บาท เจียดส่งมาบ้านบ้างและส่งตัวเองเรียนต่อด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ กับลูกคนสุดท้องที่เป็นคนเรียบร้อย อัธยาศัยดี และคิดดีกับทุกคนเช่นนี้ ซึ่งทุกคนช็อกและรับไม่ได้ ตนอยากฝากไปยังผู้รับผิดชอบการร่างกฎหมาย ให้พิจารณาเรื่องนี้ เพราะคนไม่ดี พ้นโทษออกมาก็จะมาก่อเหตุทำร้ายคนดีอีก ตนอยากให้การตายของลูกสาวเป็นรายสุดท้ายที่เกิดเหตุแบบนี้ และต้องการให้เป็นอานิสงส์ให้มีการออกกฎหมายที่เด็ดขาดกว่านี้ ใครก่อเหตุเช่นนี้ต้องกำหนดกฎหมายลงโทษให้ตายตกตามกันไป เพื่อที่จะไม่ให้ติดคุกพ้นโทษออกมา แล้วก็มาก่อเหตุอีก และจากการทราบว่ามีการจับคนร้ายได้ ที่เมื่อพ้นโทษแล้วยังมาก่อเหตุอีก
ใน ขณะที่นางวงเดือน โพธิ์นาม ญาติคนหนึ่งกล่าวว่า อยากให้ใช้กฎหมายเข้มข้น อยากให้ฆ่าทิ้งหรือประหารเลย เพราะรายนี้ออกจากคุกมาแล้วยังไม่สำนึก ออกจากคุกมาอีกก็จะทำอีก อยากให้เอาไปประหาร หรือไม่ก็เอาไปเผานั่งยางแบบที่อุดรธานี จึงจะสาสม
No comments:
Post a Comment